หน่วยที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเชิงกลยุทธ์
ความหมายและความสำคัญและลักษณะของการจัดการเชิงกลยุทธ์
· คือการบูรณาการความรู้แขนงต่างๆ มาวิเคราะห์ ตัดสินใจ และกระทำให้เกิดแผนการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การในระยะยาว
· มีความสำคัญต่อธุรกิจ เนื่องจากเป็นชั้นเชิงในการบริหารให้ตนเหนือคู่แข่ง ก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคตโดยมีทั้งประสิทธิผลและประสิทธิภาพ มีความสำคัญดังนี้
o ช่วยให้องค์กรมีกรอบและทิศทางที่ชัดเจน โดยกำหนด วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ เพื่อกำกับการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
o ช่วยให้ผู้บริหารคิดอย่างเป็นระบบ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้
o ช่วยสร้างความพร้อมให้องค์กร สู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในอนาคต
o ช่วยสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขัน ให้ได้เปรียบคู่แข่ง
o ช่วยให้การทำงานสอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และเกิดความร่วมมือในการก้าวสู่เป้าหมาย โดยสามารถลำดับความเร่งด่วนของงานได้
o ช่วยให้องค์กรมีมุมมองที่ครอบคลุม โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ปัจจัยภายในและภายนอก
· การจัดการประกอบด้วย planning, organizing, leading, controlling, evaluating ซึ่งการจัดการเชิงกลยุทธ์จะนำปัจจัยภายนอกมาพิจารณาด้วย เพื่อให้แข่งขันระหว่างองค์กรได้ โดยมีลักษณะของการจัดการเชิงกลยุทธ์ ดังนี้
o บริหารโดยมุ่งเน้นถึงอนาคต โดยสามารถเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับสวล.ที่เปลี่ยนแปลงได้
o บริหารโดยเน้นจัดการต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์กร ทั้งโครงสร้าง เทคโนโลยี บุคลากร ทรัพยากร
o บริหารแบบองค์รวม มุ่งเน้นการบรรลุสู่เป้าหมาย โดยการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ เพื่อให้การดำเนินการไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
o บริหารโดยเน้นผลลัพธ์ในการดำเนินการ ซึ่งจะระบุวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัดอย่างชัดเจน
o เน้นบริหารโดยการให้ความสำคัญต้อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
o มุ่งเน้นการวางแผนระยะยาว
กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ มี 4 ขั้นตอนคือ
1. การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ คือวิเคราะห์ถึงปัจจัยและสภวะต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงทรัพยากร ความสามารถที่มีอยู่ ว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร มักใช้ SWOT analysis โดยแบ่งเป็น
o การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
§ ซึ่งทำให้ทราบว่าเป็นโอกาสหรือข้อจำกัดของโครงการ โดยปัจจัยภายนอกนั้นมีทั้งประเภทโดยตรง เช่น นโยบายนโยบายกระทรวงสาธารณาสุข และปัจจัยโดยอ้อม เช่น เศรษฐกิจ
§ ขั้นตอนการดำเนินการวิเคราะห์มี 4 ขั้น คือ การตรวจสอบ (scanning) การติดตามและตรวจสอบ (monitoring) การพยากรณ์ (forecasting) การประเมิน (assessing)
o การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน เพื่อทราบจุดแข็งและจุดอ่อนของตน เช่น การวิเคราะห์ตามสายงาน การวิเคราะห์ตัวแปรตามห่วงโซ่ราคา การวิเคราะห์ทรัพยากร ซึ่งมีวิธีการโดย
§ ระบุและแยกประเภททรัพยากรเป็นจุดแข็งจุดอ่อนโดยเทียบกับคู่แข่ง
§ ระบุความสามารถขององค์กร
§ ประเมินศักยภาพในการสร้างกำไรจากทรัพยากร
§ เลือกกลยุทธ์ขององค์กรที่ใช้ทรัพยากรอย่างเป็นประโยชน์สูงสุด
§ ระบุช่องว่างของทรัพยากรที่มีศักยภาพที่ต้องลงทุนเพิ่ม
2. การกำหนดกลยุทธ์ เพื่อให้ผู้บริการกำหนดเป้าขององค์กรได้ โดยการกำหนดจะเริ่มจาก วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์
o การกำหนดกลยุทธ์มีบรรทัดฐานในการตัดสินใจคือ
§ ต้องตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก
§ รักษาสถาภาพความได้เปรียบต่อคุ่แข่ง
§ กลยุทธ์แต่ละด้านสอดคล้องกัน
§ มีความยืดหยุ่น
§ กลยุทธ์สอดคล้องกับพันธกิจและเป้าประสงค์
§ เป็นไปได้ในการดำเนินการ
o เทคนิคในการกำหนดกลยุทธ์จะใช้แตกต่างกันไปตามระดับกลยุทธ์ ดังนี้
§ ระดับองค์กร มักนำข้อมูลจาก SWAT analysis มาประกอบ เช่น ใช้ TOWS matrix, แมทริกซ์ประเมินกลยุทธ์และตำแหน่ง, BCG matrix, แมทริกซ์กลยุทธ์หลัก
§ ระดับธุรกิจ มักนำปัจจัยทางธุรกิจมาพิจารณา เช่น แมทริกซ์การเจริญเติบโตของส่วนแบ่งการตลาด, แมทริกซ์วงจรชีวิตตลาด-จุดแข็งในการแข่งขัน
§ ระดับปฏิบัติการ จะยึดหลักการสร้างคุณค่าในสายตาและความต้องการลูกค้า โดยมีสินค้าที่ ดีดว่า ถูกกว่า รวดเร็วกว่า
3. การนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ จะมุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานภายใน โดยกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์กร สร้างแรงจูงใจในการพัฒนาศักยภาพ ปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง สร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยสิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดกลยุทธ์สู่ระดับปฏิบัติการให้ได้ และผู้บริการต้องตอบได้ว่า ใครเป็นผู้กระทำ ทำอะไร และทำอย่างไร (who, what, how)
o การนำกลยุทธ์สู่การปฏิบัติต้องมีการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติซึ่งจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 4 อย่างคือ
§ การจัดสรรทรัพยากร มีการวางแผนการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
§ การปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของการใช้กลยุทธืและใช้ทรัพยากร
§ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อให้รองรับกัลกลยุทธ์
§ การกระจายกลยุทธ์ไปสู่หน่วยย่อยในการปฏบัติ อาจทำให้เกิดเป้าหมายย่อยๆตามมา
o ประเด็นสำคัญในการนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ มีสาระสำคัญ 5 ประการคือ
§ การวิเคราะห์โครงสร้างองค์กร ว่ามีสมรรถนะและความสามารถในการดำเนินกลยุทธ์หรือไม่ โดยพิจารณาจาก structure, strategy, system, style, staff, skill, shared value โดยผู้นำต้องปรับปรุงแก้ไขให้พร้อม
§ วิเคราะห์วัฒนธรรมองค์กร โดยพยายามให้ทุกคนมีค่านิยมร่วมกัน (shared value)
§ การเลือกแนวทางในการตัดสินใจ จะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ เช่น แนวทางสั่งการ, แนวทางปรัปเปลี่ยน, แนวทางให้ความร่วมมือ, แนวทางวัฒนธรรม, แนวทางเพิ่มพูนความคิดเห็น
§ การวางกำหนดการเชิงกลยุทธ์ เป็นการแปลงกลยุทธ์อยู่ในรูปโครงการ แผนงาน
§ สร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้
4. การประเมินและควบคุมกลยุทธ์ โดยดูว่าการปฏิบัตินั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุง
o วัตถุประสงค์ของการประเมิน
§ ติดตามการดำเนินการว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่
§ ประเมินความเหมาะสมของแผนกลยุทธ์ และความสอดคล้องกับโครงสร้างขององค์กร
§ ประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับกิจกรรม
§ เพื่อทราบผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้น ว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่
§ จัดรางวัลหรือผลตอบแทนได้เหมาะสม
o กระบวนการประเมินและควบคุมกลยุทธ์ ผู้ควบคุมต้องกำหนดขั้นตอนปฏิบัติให้สอดคล้องกับระบบกลยุทธ์ โดยการควบคุมกลยุทย์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ต้องมีความยืดหยุ่น ข้อมูลถูกต้องชัดเจน และมีวิธีการหาข้อมูลที่ไม่ยุ่งยาก ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการดังนี้
§ การกำหนดวัตถุประสงค์และสิ่งที่ต้องการควบคุมว่าเป็นเรื่องใดบ้าง
§ การกำหนดเกณฑ์และมาตรฐาน เพื่อให้มีวิธีการวัด และมาตรวัดที่เป็นรูปธรรม
§ การวัดผลการปฏิบัติงาน โดยวัดตามช่วงเวลาที่กำหนด
§ การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติการกับมาตรฐาน
§ การปรัปปรุงแก้ไข
o องค์ประกอบในการควบคุมกลยุทธ์ มี 3 ประการคือ
§ การติดตามผลการดำเนินการ (track status) เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการปฏิบัติงานเป็นทิศทางที่ถูกต้อง
§ การรายงานความก้าวหน้า (communicate progress)
การวัดและประเมินผล (measurement and evaluation)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น