หน่วยที่ 15 การใช้หลักฐานงานวิจัยทางวิทยาการระบาดในงานสาธารณสุข
คำจำกัดความ ความสำคัญ ประเภทของหลักฐาน
- evidenced-base คือ การนำหลักฐานไปใช้ในเรื่องนั้นๆโดยตรง
- evidenced-information คือ การนำหลักฐานมาพิจารณาร่วมกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม
- หลักฐาน คือ ข้อเท็จจริงที่หวังจะให้เกิดข้อสรุป คือใช้สนับสนุนให้เกิดข้อสรุปนั่นเอง มีประโยชน์คือ
- ในแง่การนำไปใช้ในสภาวะมีทรัพยากรจำกัด ทำให้ประหยัดงบ ประหยัดเวลา
- การกระทำนั้นอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้นั่งเทียนทำนะคะ...
- ข้อมูลทันสมัยเชื่อถือได้
- รับประกันว่า เวลาของผู้ปฏิบัติใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นประโยชน์มากสุดในการทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับคำถามทางสาธารณสุขที่เป็นเรื่องเฉพาะ
- คุณสมบัติของหลักฐาน
- expert opinion ไม่ใช่หลักฐาน แต่เป็นข้อเท็จจริง(หลักฐาน) + การตีความหรือการสรุปจากประสบการณ์
- ความน่าเชื่อถือของหลักฐานจะดูจากระเบียบวิธีวิจัย
- การลงความเห็นต่อความเชื่อมั่นในหลักฐานหากเป็นแบบเปิดเผยจะดีกว่าแบบปกปิด เพราะกันความผิดพลาด แก้ไขความไม่เห็นพ้องกันได้
- หลักฐานจะแปรเปลี่ยนตามบริบท ดังนั้นหากจะนำไปใช้นอกเหนือบริบทต้องลงความเห็น
- หลักฐานที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในโลกคือหลักฐานระดับโลก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการลงความเห็น
- การปฏิบัติทางสารธารณสุขซึ่งจัดทำขึ้นจากหลักฐานงานวิจัย เป็นการใช้หลักฐานที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่าง
- รู้สำนึกหน้าที่ - ตระหนักถึงข้อผูกพันทางศีลธรรม ทำให้ระมัดระวังในการใช้หลักฐาน
- ชัดแจ้งเปิดเผย - เข้าใจว่าหลักฐานมีความน่าเชื่อถือ เที่ยงตรง นำไปใช้ประโยชน์ได้ขนาดไหน
- ถูกต้องชอบธรรม - ใช้ความชำนาญทางคลินิกประเมินหรือดูแลผู้ป่วย
- การใช้หลักฐาน = การทบทวนหลักฐานที่มี + งานวิจัยอย่างเป็นระบบ + ความชำนาญและความรู้ทางวิชาชีพ + ทรัพยากรที่มี + กฏข้อบังคับ + ค่านิยมทางสังคมหรือวัฒนธรรม
- หลักฐานเชิงปริมาณ
- interventions : กิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสุขภาพ - ควรศึกษาจาก randomized controlled trial
- frequency/rate : ความถี่/อัตราการเกิดโรค - cross section ที่มีมาตรฐาน (ประชากรต้องสุ่มมานะ)
- Diagnotic Test performance: การทำการทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรค- case control/cross section
- risk factor: สาเหตุการเกิดโรค/ปัจจัยเสี่ยง - cohort ติดตามระยะยาว/ case control
- predicted prognosis: การพยาการณ์โรค- cohort ติดตามระยะยาว/วิจัยการรอดชีวิต
- economic analize: การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ - cost-effectiveness,cost-benefit analysis
- หลักฐานเชิงคุณภาพ
- งานวิจัยที่มีข้อสรุป
- conceptual study: งานวิจัยเชิงแนวคิด - มักมีมุมมองที่แตกต่างเกิดขึ้นแต่ไม่ได้นำไปสุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาต่อ
- งานวิจัยเชิงพรรณนา - ไม่ได้รายงานช่วงคำตอบต่างๆไว้ทั้งหมด ตัวอย่างไม่ได้ถูกทำให้หลากหลาย
- single case study: กรณีศึกษารายบุคคล - นำไปใช้กับบริบทอื่นได้ยาก
การกำหนดคำถาม การสืบค้นหลักฐาน
- การทำนโยบายส่งเสริมสุขภาพมี 4 ขั้นตอนคือ
- การกำหนดคำถาม
- การสืบค้นหลักฐาน
- การประเมินคุณภาพหลักฐาน
- การนำหลักฐานไปใช้จัดทำนโยบาย
- การกำหนดคำถามต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง (PICO) โดยซึ่งจะช่วยกำหนดวิธีสืบค้นหลักฐานที่ต้องการ
- Population
- Intervention/Exposure
- Comparison (กลุ่มปกติที่ไม่ได้รับ intervention)
- Outcome
- ระดับของหลักฐาน คือ การบ่งบอกความหน้าเชื่อถือของหลักฐานว่ามีมากหรือน้อย โดยการจำแนกเป็นกลุ่ม ดังนี้
- การวิเคราะห์เมต้า (meta analysis) คือ การวิเคราะห์หลักฐานจากงานวิจัยเชิงคุณภาพที่หลากหลาย อาจทำให้เกิดการถ่ายโอนข้อมูลหรือเพิ่มพูนข้อค้นพบใหม่ๆ
- การประเมินผลทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ควรทำแค่ cost-effectiveness อย่างง่ายๆ โดยจะช่วยดูความสัมพันธ์ของผลลัพธ์ทางสุขภาพกับจำนวนเงินและความเสี่ยงทางสุขภาพว่าคุ้มหรือไม่
- pre-processed evidence: หลักฐานที่ถูกตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ ซึ่งมีมาก ทันสมัย เข้าถึงง่าย (ทาง internet) โดยจำแนกความน่าเชื่อถือ(จากมากไปน้อย) ไว้ ดังนี้
- งานวิจัยระบบ คือ แนวทางปฏิบัติ เส้นทางการตัดสินใจที่จัดทำขึ้นจากหลักฐานงานวิจัย ซึ่งมีข้อมูลมากพอเพียงที่จะชี้นำกิจกรรมทางสาธารณสุขได้
- สรุปประเด็นของการสังเคราะห์งานวิจัย (synopses of synthesis) คือ สรุประเบียบปฏิบัติ ผลลัพธ์ ของงานวิจัยที่ได้ทบทวน
- การสังเคราะห์งานวิจัย (systemic review) คือ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักฐานทั้งหมดที่หาคำตอบได้มาตอบคำถามทางสารธารณสุข เป็นหลักฐานที่สำคัยมากเพราะหลักฐานนั้นได้ถูกค้นพบและประเมินแล้ว เหมาะกับคนที่มีเวลาน้อยๆ
- การสรุปประเด็นสำคัญของงานวิจัยเรื่องเดียว (synopses of single study)
- งานวิจัยเรื่องเดียว (single study)
- แหล่งของการสืบค้นข้อมูล
- search engines : เช่น google
- electronic database จะมีรายละเอียดของบรรณานุกรม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับงานวิจัยฉบับเต็มได้
- subject gateways เป็นการรวบรวมแหล่งหลักฐานงานวิจัย โดยจัดกลุ่มตามวิชา หรือตามสาขาวิชาชีพ เป็นต้น บางครั้งมีการนำมารวมไว้เป็นเล่มๆ ทำให้สืบค้นหาได้ง่าย
การประเมินหลักฐานเชิงวิพากษ์
- เป็นการประเมินความสมเหตุสมผล ขนาดของผลลัพธ์สามารถอ้างอิงสู่ประชากรได้หรือไม่ คุณภาพงานวิจัย ความเกี่ยวข้องของข้อค้นพบกับการปฏิบัติที่อยู่ในความสนใจ ว่าเหมาะสมเพียงพอจะนำมาใช้ประโยชน์หรือไม่
- มีความสำคัญคือ ก่อให้เกิดความสงสัยในเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับชีวการแพทย์ (อาจมีการต่อยอดในอนาคต), ถ่ายโอนความรู้จากหลักฐานที่ตีพิมพ์มาเป็นการปฏิบัติที่มีประโยชน์, มีการประเมินรายงานวิจัยทั้งที่เขียนและไม่เขียนไว้
- ข้อดี/ข้อเสียของการประเมินเชิงวิพากษ์
- ช่วยปิดช่องว่างระหว่างงานวิจัยกับการปฏิบัติ เนื่องจากสนับสนุนให้ปรัปปรุงคุณภาพสาธารณสุข
- ให้วิธีการที่เป็นระบบในการประเมินความสมเหตุสมผล ความเที่ยงตรง ผลลัพธ์ และประโยชน์ของงานวิจัย
- สนับสนุนการประเมินแบบตรงไปตรงมา
- ทักษะการประเมินเกิดได้ง่าย เครื่องมือการประเมินมีอยู่แพร่หลาย ใช้ง่าย
- สิ้นเปลืองเวลาในการประเมินครั้งแรกๆ (ต่อมาจะทำได้คล่องเอง)
- บางครั้งไม่ได้ให้คำตอบเสมอไป หรือได้คำตอบที่เข้าใจยากแก่ผู้อ่าน
- อาจทำให้ผู้ประเมินสูญเสียความมุ่งหวัง/ความคาดหวัง เพราะงานวิจัยมีคุณภาพไม่ดี
- กระบวนการประเมินเชิงวิพากษ์โดยใช้ 10 คำถาม
- หัวข้องานวิจัยเกี่ยวข้องกับสาขาของผู้ประเมินหรือไม่
- งานวิจัยนั้นได้เพิ่มเติมความรู้ใหม่ที่ต่างจากงานวิจัยที่ผ่านมาหรือไม่
- คำถามงานวิจัยเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบใด เช่น ประสิทธิผลของการรักษา ความถี่ของเหตุการณ์
- รูปแบบงานวิจัยเหมาะสมกับคำถามหรือไม่
- มีการกล่าวถึงแหล่งอคติที่อาจเกิดขึ้นไว้หรือไม่ มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ทิศทางใด
- การวิจัยได้ทำตามแผนที่วางไว้แต่แรกหรือไม่ บางครั้งอาจทำไม่ได้เพราะขาดกลุ่มตัวอย่าง เป็นต้น
- มีการทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่ (ทดสอบความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ)
- การวิเคราะห์ทางสถิติถูกต้องหรือไม่ ข้อมูลที่ขาดหายไปทำอย่างไร ใช้ per protocol หรือ intention to treat
- ข้อสรุปของงานวิจัยสมเหตุสมผลกับข้อมูลจากการศึกษาหรือไม่ บางครั้งมีการขยายจากกลุ่มตัวอย่างไปสู่ประชากรที่เกินขอบเขตจะรับได้
- มีความขัดแย้ง/ผลประโยชน์จากการวิจัยหรือไม่ เช่น ใครออกเงินทุน
- เครื่องมือที่ช่วยในการวิพากษ์ที่ควรรู้จัก
- แผนผัง CONSORT เป็น flow chart แสดงการแบ่งกลุ่มตัวอย่าง ฯลฯ ใช้ในการวิจัยแบบทดลอง
- QUARUM เป็นกรอบแนวทางการวิพากษ์ meta analysis
- STROBE เป็นกรอบแนวทางการวิพากษ์งานวิจัยเชิงสังเกต
การสังเคราะห์หลักฐาน
- คือการนำงานวิจัยหลายๆฉบับที่คล้ายคลึงในแง่ของคำถามงานวิจัย มาหาผลลัพธ์รวม ซึ่งเรียกว่าค่าประมาณโดยสรุป (summary estimate)
- ค่าประมาณของผลกระทบในงานวิจัยมีหลายค่า เช่น RR ซึ่งในแต่ละงานวิจัยที่เลือกมาจะมีค่าแตกต่างกันไป การนำมาหาค่าประมาณรวมทำโดยการเฉลี่ย เช่น RRงานวิจัย 1=2.3 (1.2-3.7) RRงานวิจัย 2 = 3.5 (2.2-4.6) จะนำค่าในวงเล็บซึ่งเป็นค่าความผิดพลาดมาตรฐานมาเฉลี่ย และต้องหา CI 95% ของค่าเฉลี่ยดังกล่าว
- ตัววัดผลลัพธ์ทางสุขภาพ (out come) แบ่งเป็น
- continuous outcome
- difference between group Means ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
- standardized difference ความแตกต่างของค่ากลางที่ปรับมาตรฐานโดยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
- weighted difference in mean ความแตกต่างของค่ากลางถ่วงน้ำหนัก (ต้องมีหน่วยวัดผลลัพธ์เป็นหน่วยเดียวกัน)
- standardized weighted Mean difference ความแตกต่างของค่ากลางถ่วงน้ำหนักที่ปรับมาตรฐาน (ใช้เมื่อหน่วยวัดต่างกัน)
- Binary outcome (ผลลัพธ์ประเภท เป็น/ไม่เป็น เกิด/ไม่เกิด)
- risk difference ความแตกต่างของความเสี่ยงสัมบูรณ์
- relative risk ความเสี่ยงสัมพัทธ์
- odds ratio
- hazard ratio
- number needed to treat
- summary estimate มีวิธีการทำ 2 วิธี คือ
- a fixed effect model คืองานวิจัยแต่ละชิ้นมีค่าขนาดผลกระทบเพียงค่าเดียว ค่าสรุปจะหาจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยถ่วงจากความแม่นยำ ความเที่ยงตรงของงานวิจัยแต่ละชิ้น (น้ำหนักของขนาดผลกระทบคือ 1/d2 เมื่อ d2 คือความแปรปรวนของค่าประมาณขนาดของผลกระทบ)
- a random effect model คืองานวิจัยแต่ละชิ้นมีค่าขนาดผลกระทบแตกต่างกันไป ซึ่งกำหนดให้เป็น tau (น้ำหนักของขนาดผลกระทบคือ 1/d2 + tau2)
- การประเมินความไม่เหมือนกันของขนาดผลกระทบของสิ่งทดลองของงานวิจัย กล่าวคืองานวิจัยที่มีประชากรต่างกัน วิธีการวิเคราะห์ต่างกัน แต่ได้ผลลัพธ์ในทิศทางเดียวกัน เราอาจกล่าวว่าผลนั้นเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือ แต่ถ้าผลต่างกันไปไม่สอดคล้องกัน ก็เป็นโอกาสให้เราหาความแปรปรวนที่เกิดจากงานวิจัยนั้น
- การสรุปสาระสำคัญของงานวิจัยเชิงทดลอง
- นำเสนอด้วยตารางสรุปและกราฟ Forest plot ซึ่งแสดงขนาดของผลกระทบพร้อมช่วงความเชื่อมั่น
- การสังเคราะห์มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาค่าประมาณโดยสรุปของผลลัพธ์ทั้งหมด และตรวจสอบว่าผลลัพธ์งานวิจัยโดยเฉลี่ยถูกปรับเปลี่ยนโดยปัจจัยอื่นๆอย่างไร
- ประเมินความไม่เหมือนกันของขนาดของผลกระทบ เช่น ความรุนแรงของโนคที่ต่างกัน อายุ เชื้อชาติ ระยะเวลาติดตาม ฯลฯ
- การสรุปสาระสำคัญของงานวิจัยแบบสำรวจภาคตัดขวาง (สำหรับความถี่) และงานวิจัย cohort (สำหรับอัตรา)
- นำเสนอด้วยตารางสรุปที่ให้คำจำกัดความและการวัดผลที่ใช้ และกราฟ Forest plot ซึ่งแสดงขนาดของผลกระทบพร้อมช่วงความเชื่อมั่น
- ถ้างานวิจัยคล้ายคลึงกันการสังเคราะห์ผลลัพธ์เชิงปริมาณ(ความถี่,อัตรา) สามารถนำมาหาได้โดยตรง แต่ถ้ามีความแปรปรวนจากสาเหตุใดๆ ต้องมีวิธีการสังเคราะห์ที่ซับซ้อนขึ้น โดยหาสาเหตุของความแปรปรวนและพยายามปรับค่า แต่ถ้าเป็นความแตกต่างที่แท้จริงควรมีการรายงานไว้ด้วย
- ประเมินความไม่เหมือนกันของความถี่/อัตรา ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะมีนัยสำคัญหรือไม่ ควรตรวจสอบว่าวิธีการวัดหรือกรอบตัวอย่างในแต่ละงานวิจัยนั้นเหมือนกันหรือไม่
- การสรุปสาระสำคัญของงานวิจัยแบบทดสอบการวินิจฉัยโรค
- นำเสนอด้วยตารางสรุปและกราฟความไว (sensitivity),กราฟความจำเพาะ (specificity),กราฟความไวต่อความจำเพาะ (ROC space: พื้นที่บนแกน X และ Y แสดงการแลกเปลี่ยนกันของผลบวกแท้จริงและผลบวกไม่แท้จริง) พร้อมช่วงความเชื่อมั่นในแต่ละกราฟ
- การสังเคราะห์ผลลัพธ์โดยนำกราฟ ROC มาปรับเป็นกราฟ SROC (คือเขียนเส้นโค้งเข้าไป)
- ประเมินความไม่เหมือนกันของความแม่นยำ(ความไว+ความจำเพาะ)
- การสังเคราะห์หลักฐานงานวิจัยเชิงคุณภาพ อาจช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบของบริบทต่างๆต่อผลลัพธ์ได้มากขึ้น
- การสังเคราะห์การประเมินผลทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อสรุปสาระคำคัญของหลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพเพื่อลดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับประโยชนืและต้นทุนที่สัมพันธ์กัน ซึ่งแสดงข้อมูลในรูปตารางว่างานวิจัยแต่ละชิ้นมีผลลัพธ์การทบทวนด้านต้นทุนและผลลัพธ์ทางสุขภาพเปรียบเทียบกันเป็นอย่างไร
การนำหลักฐานไปจัดทำนโยบาย/โครงการส่งเสริมสุขภาพ
- หลักฐานที่จะนำมาจัดทำนโยบายทางสาธารณสุขจะต้องตอบได้ว่า
- มีประสิทธิผล คือทำให้เกิดขึ้นได้ it works
- ต้องการการตัดสินใจ/การกระทำทางนโยบาย คือ แก้ปัญหาได้ it solves problem
- ให้แนวทางการดำเนินการ it can be done
- ให้ข้อมูล cost effectiveness คือเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และอาจประหยัดเงินได้
- ประเภทของหลักฐานที่ใช้ประกอบการพิจารณาทำนโยบาย ได้แก่ งานวิจัย ความรู้และข้อมูลข่าวสาร ความคิดและความสนใจ การเมือง เศรษฐกิจ
- บทบาทของหลักฐานจากการทบทวนงานวิจัยจำเป็นต้องมีการลงความเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจในนโยบาย ประกอบกับข้อพิจารณาด้านอื่นๆ
- คำถามในการจัดทำนโยบายทางสาธารณะสุขที่ต้องหาคำตอบให้ได้
- ปัญหาสาธารณสุขนั้นขนาดใหญ่แค่ไหน สำคัญขนาดไหน
- ประหยัดต้นทุนด้านการเจ็บป่วยและการรักษาได้แค่ไหน
- หลักฐานที่นำมาใช้มีการเสนอผลกระทบที่ตามมาหรือต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นภายหลังหรือไม่
- หลักฐานที่นำมาใช้นั้นดำเนินการในชุมชนที่คล้ายคลึงกับชุมชนที่จะทำนโยบายหรือไม่ มีแนวโน้มจะสำเร็จให้ผลเหมือนกันไหม
- ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติและต้นทุนหรือทรัพยากรที่ต้องจัดเตรียม
- ถ้าหลักฐานบอว่านโยบายไม่มีประสิทธิผลให้หาว่าเป็นจริงตามหลักฐานบอกหรือนโยบายยังไม่ถูกจำแนกกันแน่
- ถ้าหลักฐานมีผลลัพธ์ไม่แน่ชัด ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญดู
- ความคิดเห็นด้านคุณค่าของผู้รับผลประโยชน์ในพื้นที่และความเป็นไปได้ของความสำเร็จ
- การส่งเสริมสุขภาพซึ่งจัดขึ้นจากหลักฐานงานวิจัย คือ การพัฒนา การดำเนินการ และการประเมินผลแผนงานโดยใช้หลักฐาน
- แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ
- เป็นกระบวนการวางแผน ดำเนินการ ประเมินผลแผนงานที่ถูกเปลี่ยนแปลงจากตัวแนวคิดเดิม เพื่อแก้ไขประเด็นทางสุขภาพ
- มองไปที่ตัวประชากรมากกว่าตัวบุคคล (มุมมองทางระบาดวิทยา)
- เป็นแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างสมช.กับสวล. (สังคม วัฒนธรรม กฏหมาย เศรษฐกิจ ฯลฯ)
- การส่งเสริมสุขภาพดำเนินการทั้งระดับบุคคลและชุมชน คือมุ่งประเด็นไปทั้งวิถีชีวิต การเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนโดยรวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม
- หลักฐานที่ต้องการในการจัดทำแผนงานโครงการส่งเสริมสุขภาพ
- หลักฐานเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพและโรคที่สนับสนุนข้อความ “บางสิ่งบางอย่างควรถูกทำขึ้น”
- หลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรค ที่สนับสนุนข้อความ “สิ่งนี้ควรถูกทำให้เกิดขึ้น”
- หลักฐานเกี่ยวกับรูปแบบงานวิจัยที่แตกต่าง ที่สนับสนุนข้อความ “สิ่งนี้ควรถูกทำขึ้นอย่างไร”
- ความสามารถในการนำหลักฐานไปใช้ และความสามารถถ่ายโอนหลักฐานไปสู่บริบทอื่นในการส่งเสริมสุขภาพ
- ความสามารถนำหลักฐานไปใช้ (applicability) คือการแปลข้อค้นพบจากงานวิจัยไปสู่กิจกรรมในประชากรกลุ่มที่สนใจ โดยกระทำอย่างซื่อตรงและถูกต้องตามหลักฐาน สรรหากลุ่มประชากรเป้าหมายที่จะได้ประโยชน์จากโครงการ ดำเนินโครงการอย่าซื่อสัตย์ ถูกต้อง โดยปรับวิธีการนำเสนอข้อมูลไปสู่ผู้รับให้เหมาะสมกับบริบทด้านภาษา ที่ตั้งโครงการ และความต้องการของประชากรเป้าหมาย
- ความยั่งยืนของโครงการ (sustainability) เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะสุขภาพระยะยาว โดยหาว่าผลกระทบระยะยาวที่ต้องการนั้นคืออะไร จะสนับสนุนโครงการนี้อย่างเป็นขั้นตอนอย่างไร และทรัพยากรที่ต้องการคืออะไร
- ความสามารถถ่ายโอนหลักฐานไปสู่บริบทอื่น (transferability) มักเกี่ยวข้องกับวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น ชาติพันธุ์ต่างกัน การศึกษารายกรณีที่แตกต่างกันไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น